เทศน์พระ

กิเลสร้อน

๒๕ พ.ย. ๒๕๕๔

 

กิเลสร้อน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งสติ พอตั้งสติทุกอย่างจะจบหมด สิ่งที่เราได้อารัมภบทกันมานี้เป็นเรื่องของโลก เราเกิดมาเป็นโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากโลก แต่เพราะเอาโลกนี้มาปฏิบัติธรรม เอาโลกนี้ไง เอาร่างกาย เอาจิตใจ จิตใจที่เป็นโลกๆ นี่มาประพฤติปฏิบัติ

เราเกิดมาจากโลก โลกมันมีอยู่แล้ว ผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันมีของมันอยู่ จิตเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนั้น แต่เวลาศึกษาธรรมเราศึกษาเพื่อจะออกจากวัฏฏะ วัฏฏะ-วิวัฏฏะ ถ้าวิวัฏฏะคือเราพ้นออกไปจากวัฏฏะ จะพ้นออกไปจากวัฏฏะมันต้องมีวิธีการที่มันจะพ้นออกไปจากวัฏฏะ วิธีการที่จะพ้นออกจากวัฏฏะ เห็นไหม ผู้ที่รู้วิธีการนั้นก็คือจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นมีวิธีการ จิตดวงนั้นมีทางออก จิตดวงนั้นจะเข้าใจ นี่มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตังกับจิตดวงนั้น

แต่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาเป็นปริยัติ การศึกษา เราศึกษามาเพื่อเราไง เราศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ แต่ทางโลกศึกษาเป็นวิชาการ เหมือนวิชาชีพเลย นักกฎหมายเขาศึกษากฎหมายมาเพื่อเป็นวิชาชีพของเขา เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ตัดสินทางคดีความ เห็นไหม ผู้ที่เรียนทางวิชาการสิ่งใดมา ศึกษาทางวิชาการมา เขาก็เอาวิชาชีพของเขามาประพฤติปฏิบัติ มาทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพของเขา

ในปัจจุบันนี้เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเพื่ออะไร?

ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ดูสิ ถ้าเป็นการเผยแผ่ทางปริยัติ เขาเป็นครูเป็นอาจารย์ เขาก็ศึกษา เขาก็เป็นครูสอน สอนเพื่อให้คนเข้าใจ เพื่อให้คนรู้ รู้ธรรมะไง แต่การศึกษานี้มันก็เป็นภาคปริยัติใช่ไหม แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราศึกษามาแล้วเราต้องปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติมาเพื่อเป็นความจริงในหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราเป็นความจริงขึ้นมานะ เราจะร่มเย็นเป็นสุข เพราะการประพฤติปฏิบัตินี้ ธรรมะจะประพฤติปฏิบัติเพื่อไปปราบกิเลสในหัวใจของเรา นี่กิเลสมันร้อนนะ ดูสิ ดูทางโลกเขาร้อนนัก

ดูสิ เวลาน้ำท่วมขึ้นมา อยู่กับน้ำ บอก “น้ำเน่า น้ำเน่า”

น้ำนี่มันไม่เน่า ถ้ามันไหลมาเริ่มต้น น้ำมันก็สะอาดบริสุทธิ์อยู่นี่ เห็นไหม ถ้าคนมีคุณธรรมในหัวใจยอมรับสภาพได้ เขาจะไม่มีความทุกข์ในหัวใจจนเกินไปนัก แต่เรื่องความเสียใจ เรื่องความเสียดาย ทุกคนจะไม่เสียใจได้อย่างไร ดูสิ เวลาคนเกิดมา พ่อแม่อยากได้ลูกหญิง อยากได้ลูกชาย เวลาเกิดมานี่เขายังคิดต่าง คนอยากได้ลูกผู้หญิง ได้ลูกผู้ชาย เขาเองเขาก็เสียใจ เวลาเขาอยากได้ลูกผู้ชายแล้วได้ลูกผู้หญิง เขาก็เสียใจของเขา นี่คือการเกิด เวลาการเกิดขึ้นมา เวลาเขาอยากได้อย่างหนึ่ง ได้อีกอย่างหนึ่งเขาก็เสียใจ

เวลาน้ำมันท่วมมา โดยธรรมชาติของคนที่ไม่เสียใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเสียใจทั้งนั้นน่ะ มันเสียใจเพราะอะไร เพราะทรัพย์สมบัติของเรา ดูสิ เราทำเรือกสวนไร่นาขึ้นมา แล้วมันเกิดวาตภัย เกิดต่างๆ ทำให้เรือกสวนไร่นาเราเสียหายไป เราเสียใจไหม? เสียใจ แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจบ้าง มันจะมีที่หลบที่พักพิง

ดูสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าใครทำความสงบของใจได้ เขาบอกมีบ้านมีเรือนหลังหนึ่งไว้ให้หลบร้อนหลบหนาว นี่ถ้ามีสมาธินะ มีสมาธิในหัวใจ มีที่พัก มีที่ร่มเย็นให้หลบร้อนหลบหนาว หลบแดดหลบฝนได้ แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิเลยเหมือนกับเราอยู่กลางแจ้ง ฝนมาแดดมาเราทุกข์เราร้อนทั้งนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมันมีคุณธรรมบ้าง ดูสิ เวลามันเกิดเภทภัยต่างๆ มันก็มีความเสียใจเป็นธรรมดา มันมีความเสียใจ แต่มันมีธรรมะ มีที่หลบที่ซ่อน มันมีที่ให้เราพักพิง ถ้ามีพักพิง ถ้ามีคุณธรรมบ้างมันจะไม่เร่าร้อนนัก

กิเลสมันร้อน ร้อนนัก ยิ่งถ้าใครมีกิเลสมาก ดูสิ เวลาคนที่เขาเกิดภัยพิบัติขึ้นมา เสียใจ ทุกข์ใจ จนทำร้ายชีวิตก็มีนะ จนทำลายชีวิตเพราะว่ารับสภาพไม่ได้ ดูสิ เวลากิเลสมันให้ผลมันร้อนไหม นี่โลกร้อน ร้อนนัก เวลามันทุกข์มันยากนะ มันทำให้บุคคลคนๆ นั้นถึงกับทำลายชีวิตของตัวเองไป นี่ถ้าทำลายชีวิตตัวเองไป แล้วเป็นอะไรล่ะ แล้วได้เหลือสิ่งใดล่ะ? มันก็มีเวรมีกรรมต่อไปข้างหน้า แล้วสิ่งที่เราทิ้งไว้เป็นภาระคนอื่น เพราะว่าสิ่งที่เราแสวงหาไว้ สิ่งที่เราสร้างเป็นภาระไว้ ทิ้งไว้ให้คนอื่นเขาสานต่อ

แต่เราเองจิตดวงนั้นก็ทำลายตัวเอง แล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี ไปเกิดนรกอเวจี ไปเกิดใหม่ เกิดใหม่มันก็ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มันยังไม่หมดอายุขัย คนที่หมดอายุขัยมันตายไปเอง เวลาตายไปเอง ดูสิ เวรกรรมเวลามันตายไปมันหมดอายุขัยของเขา เขาหมดเวรหมดกรรมของเขา หมดเวรหมดกรรมภพชาตินี้ เวรกรรมทำมา มันหมดอายุขัย เขาก็ต้องเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติของเขาไป แต่ถ้ามันยังไม่หมดอายุขัย มันต้องไปรอเวลาในสัมภเวสี นี่ผลของวัฏฏะ วัฏฏะทำให้มันทุกข์มันร้อนไปตลอด วัฏฏะทำให้ผลมีทุกข์ร้อนนะ แล้ววัฏฏะทำให้ร่มเย็นล่ะ

วัฏฏะทำให้ร่มเย็น เวลาเราเกิดมา เกิดมามีคุณธรรมในหัวใจ เกิดสภาวะ เกิดเภทภัยขึ้นมา เราก็รับรู้มัน เราก็บริหารจัดการของเราไป มันเสียดายไหม? เสียดายทั้งนั้น สิ่งที่ทิ่มตำใจมันมีทั้งนั้นน่ะ แต่มีคุณธรรม มีที่พักที่ร้อน นี่พูดถึงโลกเขา

เราเกิดมากับโลกนะ ถ้าเราเกิดมากับโลก เราเห็นโลก “โลก” ผลของโลก โลกพร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีสิ่งใดอิ่มเต็มเลย มีเฉพาะธรรมของเรา ดูสิ เวลาทำสัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันมีที่พัก มีที่ร่มเย็น มันยังมีที่พักที่ผ่อน แต่โลกร้อนอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีสิ่งใดเลย “พร่องอยู่เป็นนิตย์” นี่เสียงดังมาก ดูสิ น้ำอยู่ในขวด ถ้ามันพร่อง เขย่าจะเสียงดังมาก แต่ถ้าน้ำเต็มขวด นี่มันไม่ดัง มันเต็มขวด ขยับไปไหนมันก็นิ่งเฉยอยู่

จิตใจของเรา เราเห็นโลกมันเป็นร้อน แล้วโลกร้อนนะ เราเอาสิ่งนี้มาเตือนใจ เราก็เกิดมากับโลก เราก็อยู่กับโลก โลกมันร้อนนัก ฉะนั้น ถ้าใครมีสิ่งใด มีสมบัติเพื่อจะบรรเทา เราก็บรรเทาความทุกข์ความร้อนไป เราอยู่กับโลกไป แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม โลกนี้ร้อนนัก เราก็เกิดมากับโลก ชีวิตนี้มันพร่องอยู่เป็นนิตย์ อายุที่ได้มาคือวันเวลาที่เสียไป ๒๔ ชั่วโมงเสียไปโดยที่เราไม่ได้ทำสิ่งใด กาลเวลามันหมุนไปตลอดเวลานะ เราต้องมีสติ เราเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์กับเรา

เวลาเราอยู่กับปัจจุบัน มันอั้นตู้ไปหมด เวลาเราภาวนา สิ่งใดก็แล้วแต่มันหาทางออกไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ หาทางออกไม่ได้เพราะเราไปเผชิญหน้ากับมัน แต่เวลาผู้ที่ภาวนาเป็นนะ วันเวลามันจะผ่านไปเร็วมาก พอเวลาผ่านไปเร็วมาก ดูสิ เวลาภาวนาถึงใช้ปัญญาแบบน้ำป่า แบบปัญญาที่มันรุนแรง เวลาภาวนาเป็นแล้ว พอจุดติดแล้ว เวลาเราจุดธรรมะติดมันเผาผลาญกิเลสนะ พอมันเผาผลาญกิเลส สิ่งใดเวลามันเป็นมหาสติ-มหาปัญญา น้ำมันจะรุนแรงมาก มันจะชำระกิเลส กิเลสมันจะหลบซ่อนน่ะ ปัญญามันจะหมุนของมันตลอดเวลา ที่หมุนตลอดเวลา นี่ไง ถ้าหมุนตลอดเวลาจะอยู่กับใครไม่ได้เลย จิตประเภทนี้จะต้องหาที่สงบสงัด จะไม่มีเวลาไปสุงสิงกับใคร จะไม่มีเวลาไปตอแยกับใคร มันจะหมุนเข้ามาข้างใน แล้วงานมันจะมีมหาศาลเลย

แต่ขณะที่ปัจจุบันเราจะเริ่มต้นการภาวนากันอยู่นี่ เราจุดไม่ติด ดูนะ ดูสิ เวลาขยะ ขยะที่ว่าขยะแห้ง ขยะต่างๆ มันต้องเอาไปทำเป็นเชื้อเพลิง เอาไปทำรีไซเคิลเป็นวัตถุเอามาใช้ใหม่ เขาได้ประโยชน์มหาศาลเลย แต่ถ้าเป็นขยะเปียก ยิ่งเป็นขยะจากโรงพยาบาล ขยะติดเชื้อ มันเอามา ถ้ากำจัดไม่ดีนะ เชื้อโรคมันจะแพร่ มันจะกระจายไปทำลายคนอื่น ทำให้เสียหายไปมหาศาลเลย จิตใจของเรานี่มันขยะเปียก มันจุดไม่ติด แล้วมันก็ทำลายหัวใจของเรา ดูสิ เวลาโลกมันร้อน มันร้อนจากภายนอก นี่ภายนอกโลกมันร้อน

ดูสิ การทำมาหากิน การแข่งขัน มันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แล้วมันซ้ำๆ ซากๆ ดูสิ ดูตลาดหุ้น เดี๋ยวก็ขึ้น เดี๋ยวก็ลง ขาขึ้น ขาลง มันเป็นธรรมชาติของมันโดยธรรมชาติของมันอย่างนั้น โลกนี้เป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่นี่ เราก็มาตื่นกับของเก่าๆ อยู่ มาตื่นกับของที่เราเคยเป็นเคยมาทั้งนั้นน่ะ มันก็ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวคนขึ้นๆ เดี๋ยวคนนี้ลง มันอยู่ของมันอยู่อย่างนี้ นี่เรื่องโลก ถ้าเราเห็นว่ามันซ้ำซากๆ เราหาทางออกของเราไง เราก็เกิดมากับโลกนี้แหละ เพราะว่าการกำเนิด ๔ มันเป็นการเกิดของจิต จิตมันต้องเกิดอยู่แล้ว พอมาเกิดอยู่แล้วเราจะมามีสติปัญญา มามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราจะหาทางออกของเรา

ถ้าเราหาทางออกของเรา โลกมันก็ร้อนอยู่แล้ว เราต้องรีบประพฤติปฏิบัตินะ นี่ถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์จะมีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ขวนขวายของเรา ถ้าขวนขวายของเรา ดูสิ ขยะมันเปียก ขยะจากโรงพยาบาลด้วย มันมีแต่เชื้อโรค มันมีแต่สิ่งที่ทำลายสภาวะแวดล้อมทั้งนั้นเลย เขาต้องใช้การกำจัดด้วยวิธีการพิเศษ

เวลาจิตของเรามันล้มลุกคลุกคลาน จิตของเรามันทำสิ่งใดไม่ได้เลย เหมือนขยะเปียกเลย จุดอย่างไรก็ไม่ติด พอโดยธรรมะเราก็ศึกษามา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติขึ้นมา ทุกอย่างยับยั้งได้หมด ถ้ายับยั้งได้หมด แล้วทำไมเรายับยั้งไม่ได้ล่ะ นี่ถ้าขยะแห้ง ดูสิ ยิ่งถ้าเป็นสิ่งวัตถุไวไฟ อย่าเข้าใกล้ไฟนะ อย่าใกล้ไฟๆ เข้าใกล้ไฟไม่ได้ ถ้าสะเก็ดไฟมันจะทำให้ขยะนี้ติดไฟ แล้วทำให้มันจะเผาไปรุนแรง ต้องห่างจากสะเก็ดไฟเต็มที่เลย นั่นพูดถึงขยะที่มันไวไฟ

แต่ขยะของเรา เขาต้องการกำจัดมัน เขาต้องการทำลายมัน แต่มันขยะเปียก มันมีแต่ชุ่มชื่นไปด้วยน้ำ ด้วยต่างๆ ด้วยเชื้อต่างๆ มันทำอย่างไร มันทำอย่างไร? ล้มลุกคลุกคลาน หันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูกเลย

เราตั้งสติของเรา เริ่มต้นทุกคนเป็นแบบนี้ เพราะเราเกิดมากับโลก เราเกิดมากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเรามาปฏิบัติ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบอกว่ามันจะเปิดทางให้ มันจะส่งเสริมให้เราปฏิบัติ เป็นอย่างนั้นเหรอ?

ดูสิ ขยะแห้งนะ มันก็เป็นขยะของมันส่วนหนึ่ง เวลาขยะติดเชื้อ มันก็เป็นขยะของมันส่วนหนึ่ง มันเป็นโดยคุณสมบัติของมันน่ะ มันเป็นโดยชนิดของมัน ใจก็เหมือนกัน ใจเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็อยากประพฤติปฏิบัติ แต่เรารู้-เข้าใจไหมว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเรามันเป็นขยะประเภทใด แล้วจะทำอย่างไรให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา เราก็พิสูจน์ใจของเราสิ โดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยธรรมชาติของมัน ขยะนี่เขาเอามากำจัด เขาเอามารีไซเคิลเพื่อประโยชน์ของเขา จิตใจของเรา เราก็จะทำของเราทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาทำขึ้นมาแล้วมันจะได้ผลหรือไม่ได้ผล เราสังเกตของเรา เราสังเกตของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา

ถ้าโลกมันร้อนแล้ว เห็นไหม โดยทางวิทยาศาสตร์ ทางวิชาการ เราก็เข้าใจได้ เราก็ศึกษาของเรา เราก็หาวิธีการของเรา แต่เวลาเป็นจิตของเราขึ้นมา มันเป็นนามธรรม พอเป็นนามธรรม สติเราตั้งอย่างไร ถ้าสติเราตั้งขึ้นมาแล้วมันล้มลุกคลุกคลานอย่างไรเราก็ทำของเรา มันมีโอกาสไง ดูสิ เวลาคนนะ เวลาเราเที่ยวป่ากัน ป่า ต้นไม้ ป่า ภูเขาเลากา กับป่าคน ดูสิ เราเข้าไปในเมืองหลวง เดินไปนี่คนยั้วเยี้ยไปหมดเลย นี่เราจะหลบหลีกกันไปอย่างไร ป่าไม้มันเป็นป่าไม้ มันยังให้ออกซิเจน มันยังเป็นที่ร่มรื่นกับเรา แล้ว “ป่าคน” ความรู้สึกของคน ความนึกคิดของคน เขาคิดอะไรกับเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราก็เป็นคนๆ หนึ่ง ถ้าเราเป็นคนๆ หนึ่ง จิตใจของเราเป็นอย่างไร ถ้าจิตใจของเรา เราเห็นสังคมของมนุษย์ มนุษย์เป็นอย่างนี้ ถ้ามนุษย์เป็นอย่างนี้ แล้วเราเป็นใคร? เราก็เป็นคนๆ หนึ่งใช่ไหม เราเป็นคนๆ หนึ่ง แต่เรามีศรัทธา มีความเชื่อของเรา ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราต้องตั้งสติของเรา ตั้งปัญญาของเรา โลกมันร้อนอยู่แล้ว ความร้อนของโลก ความร้อนของมนุษย์ กับความร่มเย็นในป่า นี่เราหลบมา

ถ้าเราหลบมาประพฤติปฏิบัติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจาราชวัง นี่อยู่ในราชวัง ดูสิ มีสนม มีผู้ดูแล กล่นเกลื่อนไปหมด จะทำสิ่งใดสะดวกสบายไปหมดเลย มันสบายแต่กิริยาภายนอก แต่หัวใจมันทุกข์ หัวใจนี่มันอัดเต็มไปด้วยภาระรับผิดชอบทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เราหลบจากป่าคน หลบจากสังคมเข้าไปในป่าไม้ ถ้าป่าไม้เป็นที่สงบสงัด นี่โลก โลกมันร้อน

เราหลบจากโลกมาอยู่ในป่าในเขา ดูสิ เวลาเราไปอยู่ในทุ่ง ในที่โล่งแจ้ง ภูเขาหิน เห็นไหม ร้อน ร้อนมาก ร้อน นี่โลกร้อน ร้อนเพราะกิเลสตัณหาของมนุษย์ ของสังคม ร้อนด้วยความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์นี่น่าเบื่อหน่าย เราหนีจากป่าคนมาอยู่ป่าไม้ มาอยู่ในป่าในเขา พอในป่าในเขามันก็ร้อน ร้อนด้วยอากาศ ร้อนด้วยอุณหภูมิ ร้อนด้วยต่างๆ นี่มันร้อนไง มันร้อน

จิตใจของเราถ้ามีหลักมีเกณฑ์ ร้อนข้างนอก แต่ข้างในมันร้อนไหมล่ะ เพราะข้างนอกมันก็ร้อน ข้างในมันก็ร้อน ถ้าข้างในมันร้อน เราจะหาสิ่งใดสงบระงับ เห็นไหม เวลาโลกมันร้อน มันร้อนโดยสภาวะของกิเลสตัณหาความทะยานอยากของสังคม ของมนุษย์ ของสภาวะกรรม กรรมของคนที่เกิดร่วมกันขึ้นมา เวลาอยู่ในป่าในเขา ถ้าอากาศร่มเย็นเป็นสุข มันมีร่มไม้ชายคา ลมที่อากาศสะดวกสบาย นี่สัปปายะ เราหาที่อย่างนั้นเป็นที่พัก แต่ถ้ามันถึงฤดูกาลมันเร่าร้อน ร้อนจากภายนอก

เราจะบอกว่า ถ้าว่ามันจะร้อนๆ เข้าป่าแล้วมันจะเย็นไปโดยธรรมชาติ ถ้ามันเป็นอากาศ มันเย็นมันก็คือเย็น ถ้าอากาศมันร้อนก็คือมันร้อน ถ้ามันร้อนขึ้นมา คนเราก็ต้องหาที่หลบหลีก หาที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าใจมันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่อาศัยสภาวะแบบนั้น

เรามองไง เรามองให้เห็นว่าโลกมันร้อน แล้วเราก็มามองให้เห็นว่ากิเลสของเราต่างหากที่มันร้อน ถ้ากิเลสของเรามันร้อนใช่ไหม เราศึกษาของเรา เรามีปัญญาของเรา มันจะยับยั้งของมัน ถ้ายับยั้งหัวใจมันก็ร่มเย็นของมันขึ้นมา ร่มเย็นหมายถึงว่ามันอยู่ได้ ถ้าร่มเย็นขึ้นมา มันอยู่ได้ขึ้นมานะ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนจิตมันสงบขึ้นมาน่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต แต่ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา มันจะมีความร่มเย็นของมันมากกว่านั้นอีก ถ้ามันมีความร่มเย็นเข้ามา เพราะอะไร เพราะเราผ่อนคลาย เราให้กิเลสมันเจือจางออกไป เพราะถ้ามีกิเลสอยู่ กิเลสคือทิฏฐิมานะ ความเป็นทิฏฐิมานะกล้า พอมานะกล้าขึ้นมามันจะสงบตัวขึ้นมาได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา หรือกำหนดพุทโธขึ้นมา

ถ้าจิตมันเริ่มสงบขึ้นมาๆ นี่กิเลสมันต้องยุบยอบตัวลง ถ้ากิเลสมันไม่ยุบยอบตัวลงมันสงบตัวไม่ได้หรอก กิเลส ดูสิ ดูพลังงานเวลามันส่งออก ดูไฟ พลังงานมันส่งออก ขยะแห้งมันมีเชื้อไฟ ถ้าเข้าเชื้อไฟ ถ้าเชื้อไฟ สะเก็ดไฟมันเข้าปั๊บมันติด มันติดมันจะเผาลามไป นี่พลังงาน พลังงานคือตัวพลังงาน แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม มันเชื้อไฟ นี่พลังงานมันมีอยู่แล้ว แล้วเชื้อไฟมันก็มีของมัน เวลามันจะติด มันจะเผาของมันขึ้นมา มันจะลามทุ่ง เวลาควันโทสะ โมหะขึ้นมามันจะลามทุ่ง ถ้าเรามีสติปัญญา เราแยกแยะของเรา กำหนดพุทโธๆ รักษาของเรา รักษา แยกแยะ แยกออกไป เป็นส่วนออกไป สะเก็ดไฟ ไฟต่างหาก เชื้อไฟเอาไว้ต่างหาก

แล้วสติปัญญาของเรา ดูสิ เราเป็นผู้แยกแยะ เราเป็นผู้คัดเลือก เราเป็นผู้กระทำของเราขึ้นมา พอมันแยกทุกๆ อย่างออก มันเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย นี่กิเลสมันสงบตัวลง ทุกอย่างเข้าสู่สถานที่เดิมของเขา ต่างอันต่างจริง เห็นไหม

ถ้าความจริง พุทโธก็เป็นความจริงของพุทโธอันหนึ่ง พุทโธๆ นี่เป็นความจริงอันหนึ่ง เพราะเรานึกพุทโธ มันจริงในเรื่องสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันก็จริงของมัน นี่เวลาพุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้ เราเก็บทุกอย่างเรียบร้อยหมดเลย พอเก็บเรียบร้อยหมดเลย พุทโธจนพุทโธไม่ได้ ตัวมันเองเป็นพุทโธ ตัวจริงเองมันเป็นผู้รู้ ผู้รู้เข้าไปสู่ความสงบร่มเย็น พอความสงบร่มเย็น นี่คือตัวจริงของมัน

ถ้าเราแยกออก แยกขยะออก พักออก ทุกอย่างแยกออกไป สะเก็ดแยกออกไป เชื้อไฟแยกออกไป ทุกอย่างแยกออกไปหมด จิตมันก็สงบเข้ามาได้ พอจิตมันสงบเข้ามา พอความสงบของใจเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาแล้ว แล้วเราทำอย่างไรต่อไป สิ่งที่เราจะแยกขยะ แยกต่างๆ ไปเก็บไว้ แล้วเราจะทำประโยชน์ขึ้นมาได้อย่างไร เราจะเอาอะไรมาเป็นประโยชน์กับเรา

นี่ไง ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน ชีวิตมันเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นพระ สมมุติสงฆ์ เป็นพระบวชแล้วก็เป็นพระที่ดี เป็นพระที่ทรงศีลทรงธรรม อยู่ในวัดนี่อู้ฮู! ร่มเย็นเป็นสุข แล้วทำอย่างไรต่อไป ร่มเย็นเป็นสุขแล้วมันจะตายเปล่าไหม สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิแล้ว ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วทำอย่างไรต่อไป? มันต้องออกใช้ปัญญา ออกแยกแยะไป

เพราะพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงการใช้ปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ เพราะตัวมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ทุกอย่าง คุณงามความดีชอบ ความชอบธรรมอย่างนี้มันทำให้สติปัญญามันเกิดขึ้น สติปัญญาเกิดขึ้น นี่การกระทำนี้มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของเรา พอมันแยกแยะของมัน มันพิจารณาของมัน มันทำประโยชน์กับมันขึ้นมา

นี่ไง สิ่งที่ว่าขยะแยกแล้วเราทำประโยชน์อย่างไร เรารีไซเคิลอะไรเอามาใช้ เริ่มต้นจากจิตนี่แหละ เริ่มต้นจากมีขยะ เริ่มต้นจากมีสังคม เริ่มต้นจากมีมนุษย์ มันถึงมีเรา พอมีเราขึ้นมาแล้ว เราก็เกิดมาจากคน เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากมนุษย์ แล้วเวลามาบวชแล้วเกิดจากอุปัชฌาย์ เป็นสมมุติสงฆ์ นี่เราเป็นพระโดยสมบูรณ์นะ เราเป็นพระขึ้นมา ยกเข้าหมู่มาแล้วเป็นพระโดยสมบูรณ์ สิทธิเสมอภาคเหมือนกันหมด แต่ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากสมมุติสงฆ์แล้วถึงเป็นอริยสงฆ์ล่ะ

ถ้าอริยสงฆ์ ถ้ามันพิจารณาเข้าไป ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันพิจารณาของมันขึ้นมา นี่มันเป็นผลงานของเราแล้วนะ เวลาเราบวชขึ้นมา เราบวชกับอุปัชฌาย์อาจารย์ นี่สงฆ์ยกเข้าหมู่เป็นพระขึ้นมา เป็นสมมุติสงฆ์ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่ธรรมจักร มรรคญาณในหัวใจของเรา มรรคญาณ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ สัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง อริยสัจ มันจะกลั่นหัวใจนี้ออกมา แล้วมันมาจากไหน? มันมาจากการกระทำของใจดวงนั้นไง

ดูสิ สติมันมีค่าเท่าไร สมาธิมันมีค่าเท่าไร ปัญญามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมแต่มันเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา เพราะเราฝึกหัดดัดแปลงของเรา เราฝึกฝนของเรา เรามีการกระทำของเราขึ้นมา ถ้าเรามีการกระทำของเราขึ้นมา ดูสิ เวลาเรามีเงินมีทอง เราเป็นเด็กเป็นน้อยขึ้นมา พ่อแม่เลี้ยงดูเรามานะ เวลาเราอยากได้เงินได้ทองเราก็ขอจากพ่อจากแม่ เวลาเราโตขึ้นมาเราก็ทำหน้าที่การงานของเราขึ้นมา เราก็ได้เงินของเราขึ้นมานะ พอเรามีเงินมีทองของเราขึ้นมา เราก็ใช้จ่ายของเราโดยสะดวกสบายของเรา เพราะเรามีเงินมีทองของเราได้ใช้จ่ายของเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราเป็นสมมุติสงฆ์ขึ้นมาเราก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ศึกษาธรรม เราได้ใช้ชีวิต เราได้ดำรงชีวิตขึ้นมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ นี่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นธรรมและเป็นวินัย เป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธที่ส่งต่อกันมา

แล้วเราเกิดมาในพระพุทธศาสนา เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เราเกิดขึ้นมาจากอุปัชฌาย์ของเรา จากครูบาอาจารย์ของเราขึ้นมา นี่เราก็เหมือนกับเด็กๆ เด็กน้อยที่ขอเงินพ่อเงินแม่ไง พ่อแม่ก็ให้เงิน ดูสิ ลูกเกิดขึ้นมาก็ให้กินนมจากเต้านะ กินสายเลือดจากหัวอกเลย เราได้กินนมจากพ่อจากแม่มา เราได้อุปัชฌาย์อาจารย์มา ทำให้เราเกิดมา ทำให้เราเป็นพระขึ้นมา แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

ดูสิ เราต้องแยกแยะของเรา อารมณ์ที่เป็นขยะ อารมณ์ที่เป็นต่างๆ เราก็แยกมันออกไป นี่สิ่งใดที่มันเป็นความร่มเย็นเป็นสุข เราก็แสวงหา เราก็ทำจิตใจของเราให้เข้าไปสู่ความสงบเรียบร้อย สู่การกระทำขึ้นมาให้เป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิขึ้นมาเราก็ใช้ปัญญาของเราขึ้นมา เราฝึกหัดของเราขึ้นมา เราพิจารณาของเราขึ้นมา นี่เราจะหาเงินหาทองเรานะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจากมรรคญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็วางธรรมและวินัยไว้เป็นทฤษฎี เป็นวิธีการ เป็นทฤษฎีให้เรามาทดสอบตรวจสอบของเรา เวลาเราบวชขึ้นมาเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา เรามาจากพิธีกรรมทั้งนั้นน่ะ เรามาจากธรรมวินัย เรามาจากความจริงในธรรมวินัยที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามาบวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา มันถูกต้องชอบธรรม ตามธรรม ตามวินัย แต่มันไม่ถูกต้องชอบธรรมตามที่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นเรื่องของวัฏฏะ เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของความเชื่อในสังคม

สังคม ความเชื่อ มันก็จริงตามความเชื่อ จริงตามความเป็นจริง นี่สังคมยอมรับจริงๆ กฎหมายมีรองรับทั้งหมด มันเป็นความจริงทั้งหมด แต่ความจริงของโลก ความจริงของวัฏฏะ มันไม่มีความจริงจากภายใน ความจริงจากหัวใจ เห็นไหม กิเลสของเรา ถ้ากิเลสเรา เราชำระเราขึ้นมา แยกแยะในหัวใจของเรา นี่สิ่งที่เป็นอริยสัจ สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึก ดูสิ เวลาจิตวิญญาณออกจากร่างไป ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในนรกอเวจี นี่กำเนิด ๔ จิตนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิด ปฏิสนธิจิตมาเกิดในไข่ของมารดา

แต่เวลาใช้ชีวิตของเรา ชีวิตมนุษย์ เวลามนุษย์ตายไป ดูสิ เวลาคฤหัสถ์เขาตาย เขาก็ตายไปพร้อมกับขันธ์ ๕ พร้อมกับความยึดมั่นถือมั่นของใจไป เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราเป็นสงฆ์ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าหัวใจเรา เราไม่ชำระแยกแยะออกไป เวลาเราตายไปมันก็ไปพร้อมกับขันธ์ ๕ ไปพร้อมกับทิฏฐิมานะของเราเหมือนกัน แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราแยกแยะหัวใจของเรา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ว่าเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีคุณค่าที่สุด ทรัพย์ที่เป็นนามธรรม

บุญกุศลเป็นทรัพย์อันหนึ่ง มันเป็นอามิส เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโดยกรรม กรรมการกระทำดี กรรมการกระทำชั่วทำให้จิตใจนี้อ่อนแอ ทำให้จิตใจนี้เศร้าหมอง ทำให้จิตใจนี้ทุกข์ยากขึ้นไป “กรรมดี” กรรมดีขึ้นมา เรามีข้อวัตรปฏิบัติ เรามีแต่ความกตัญญูกตเวที เปิดให้จิตใจนี่อ่อนนิ่ม ให้จิตใจนี้อ่อนควรแก่การงาน ถ้าจิตใจนี้แข็งกระด้าง จิตใจที่มีทิฏฐิมานะ จิตใจที่ถือตัวถือตน ทำสมาธิมันยังดำรงสมาธิไม่ได้เลย แต่ถ้ามันเปิดกว้างของมันขึ้นมา จิตใจมันจะเริ่มอ่อนโยน เปิด มีโอกาส เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ใจมันเป็นขึ้นมา ใจมันมีสัมมาสมาธิ ใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา

เราเป็นลูก ดูสิ เราขอเงินพ่อเงินแม่ใช้ พ่อแม่เลี้ยงลูกมาจนเติบโตขึ้นมา ลูกมีกิจกรรม ลูกมีการศึกษา ลูกมีหน้าที่การงาน ลูกอยู่ในสังคม ลูกเป็นคนเติบโตขึ้นมา สร้างสถานะขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บวชมา บวชกับอุปัชฌาย์อาจารย์มา อยู่กับครูบาอาจารย์ขึ้นมา แต่ใจมันเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจมีการกระทำขึ้นมา คำว่า “เข้มแข็ง” เข้มแข็งในธรรมนะ ไม่ใช่เข้มแข็งด้วยทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะนั่นมันเป็นเรื่องของกิเลส

กิเลสมันร้อน กิเลสมันร้อน กิเลสมันร้อน กิเลสต่างหากทำลายทุกอย่าง ทำลายหัวใจ ทำลายกรรมดี ทำลายการกระทำในหัวใจของเราทั้งหมดขึ้นมา แต่เพราะเรามีครูมีอาจารย์ มีสังคม มีหมู่คณะ มีต่างๆ ให้มันหล่อหลอมให้จิตใจนี้ควรแก่การงาน จิตใจควรแก่การงาน จิตใจมีการประพฤติปฏิบัติ จิตใจมีการแยกแยะ จิตใจมีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม จิตใจมันเติบโตขึ้นมา เหมือนกับเราเติบโตขึ้นมาแล้วมีหน้าที่การงาน ทำเพื่อเป็นประโยชน์กับเราไง ถ้าจิตใจมันเป็นธรรมขึ้นมา นี่มันเป็นความจริงขึ้นมาจากหัวใจของเรา

นี่ไง สิ่งนี้เป็นสัจธรรม สัจธรรมในหัวใจของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรา กับใจดวงนั้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นให้จิตใจนี้เข้มแข็ง จิตใจนี้มีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เราใช้ปัญญาแยกแยะของเราไปเรื่อยๆ มีการกระทำของเราไปเรื่อย ถึงที่สุดเวลามันแยก กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ขึ้นมา นี่มันมีหลักเกณฑ์ มันมีอกุปปธรรม มันมีการกระทำไง มีเหตุ มีปัจจัย มีเหตุมีผล มีเหตุถึงมีผล เพราะมันมีเหตุแห่งการกระทำขึ้นมา

วิธีการกระทำ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถึงวิธีการทั้งหมดเลย แต่ท่านมีใครเป็นผู้ตรวจสอบ ใครมีการกระทำ ถ้ามีการตรวจสอบ มีการกระทำนะ มันจะเห็นผลของมันขึ้นมา ถ้าเห็นผลของมันขึ้นมา นี่ผลมีอันเดียวกัน ดูสิ เวลาคนว่ากินข้าว คนกินข้าวต่างๆ กินอาหารขึ้นมา มันต้องมีความอิ่มเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ กินมาก กินน้อย แต่ก็อิ่มเหมือนกัน ความอิ่มเหมือนกัน อิ่มก็คืออิ่ม คำว่า “อิ่ม” อิ่มหนำสำราญ แต่ถ้าคนไม่ได้กิน สมมุติว่าอิ่ม เห็นเขาอิ่มเราก็อิ่มตามเขา แต่มันเป็นความจริงหรือเปล่าล่ะ? นี่ไง มันไม่มีเหตุมีผล มันเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไร

สิ่งที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจอมปลอมในหัวใจอันนั้น เพราะเขาทุจริตของเขา เขาสร้างภาพของเขา มันก็เป็นความทุกข์ของเขา แต่มันเป็นนามธรรม แล้วใครตรวจสอบใครล่ะ ถึงว่าความเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกอันนี้มีความสำคัญ เพราะมันเป็นความจริงของมัน ถ้าความจริงขึ้นมา จากเราที่เราเกิดจากพ่อจากแม่ จากที่เราเป็นเด็กน้อยต่างๆ ขึ้นมานี่ มันพัฒนาการของมันขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ

ใจก็เหมือนกัน พอใจของเราขึ้นมา เราบวชจากครูบาอาจารย์มา บวชกับอุปัชฌาย์ ศึกษามา ประพฤติปฏิบัติมา จนถึงที่สุดถ้าจิตใจมันเป็นจริงแล้วนะ มันเป็นจริงมันก็เป็นประโยชน์กับเราใช่ไหม ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเรา มันรู้จริงเห็นจริงขึ้นมา ดูนะ เราดูทางโลก ครอบครัวทางโลกถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่โตนะ ลูกมันก็อยู่อย่างนั้นๆ น่ะ นี่พ่อแม่เป็นความทุกข์มากนะ แต่ถ้าเวลาพ่อแม่เขาเลี้ยงลูกโตขึ้นมา ลูกมีความรับผิดชอบ ลูกมีสิ่งต่างๆ เห็นไหม ทำดีกว่าพ่อแม่อีก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำของเรา จิตใจของเรา เราพัฒนาเราขึ้นมานะ เราศึกษาธรรม เราศึกษานะ ธรรมะ เวลาเราอ่าน เราศึกษาในปริยัติ เราศึกษาในทางวิชาการ เราอ่านแล้วเราก็ซาบซึ้งของเรานะ แต่ถ้าเราทำได้ของเราจริงล่ะ ถ้าเราทำขึ้นมาแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมาของเรา นี่ความจริงนะ มันเกิดปัญญา มันต่อยอดได้มหาศาลเลย เพราะความจริงมันเกิดขึ้น มันรู้จริง พอรู้จริงขึ้นมา มันอธิบายไง

เวลาอธิบายวิธีการ เวลาที่จะอธิบายออกไป เห็นไหม มันขยายความ มันไปต่อยอดให้กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติเขาอยากหาช่องทางออกใช่ไหม ถ้าหาช่องทางออก นี่สิ่งวิธีการที่เราทำมาแล้วมันเป็นหลัก แล้วถ้าเกิดเขามีแนวทาง เขามีต่างๆ ถ้ามันทำไป ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริงอันเดียวกัน ถ้าความจริงอันเดียวกัน มันอยู่ที่จริตนิสัยที่เขาจะมีปัญญามาก เขาจะมีศรัทธา มีความเชื่อความมั่นคงของเขา เขาทำของเขา เขาได้ประโยชน์ของเขานะ นี่สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดัน มันขับดันให้หัวใจนี่ล้มลุกคลุกคลานนะ นี่กิเลสมันร้อนนะ

ดูสิ เวลาเราทำสิ่งต่างๆ เวลาเราทำงานด้วยกัน คนอื่นทำอย่างไรไม่ถูกใจเรา แต่เวลาเราควบคุมความรู้สึกนึกคิดเราล่ะ มันไม่สมดุล ถ้ามันไม่สมดุล มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มรรคสามัคคี ถ้ามันมัชฌิมาปฏิปทามันเป็นกลางของมัน เห็นไหม แล้วเวลาพิจารณาไป มันมรรคสามัคคี มันรวมลง มันรวมลงคือความสมดุลที่จิตมันรวมลง มรรคสามัคคีมันรวมแล้วมันสมุจเฉทปหาน นี่สิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญว่าความสมดุลของมันเราจะให้ค่าไม่ได้ เราจะหวังไม่ได้ เราจะคาดไม่ได้ เราจะจัดการไม่ได้เลย เราพิจารณาของเราไป มันจะปล่อยอย่างไร มันจะวางอย่างไร มันจะสิ้นสุดกระบวนการของมันอย่างไร มันเป็นหน้าที่ มันเป็นงานของเรา

แต่เวลามันเป็นขึ้นมานะ มันสมดุลของมัน มรรคสามัคคี สามัคคีรวมตัวลง สมุจเฉทฯ แล้วมันชำระออกไปนี่มันเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นได้ของมันตามความเป็นจริงนะ นั่นน่ะ สัจจะ สัจจะมีอยู่อันเดียวกัน ถ้าอันเดียวกันครูบาอาจารย์ท่านคุยกันท่านตรวจสอบกันง่ายนิดเดียว ถ้าพูดเหมือนกันคือเหมือนกัน ถ้าพูดไม่เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงของท่าน ท่านจะเกิดความสังเวชไง สังเวชว่าผู้ที่ปฏิบัติที่พูดแล้วมันแฉลบ มันไม่เข้าไปสัจจะความจริง คือเขาทำมา

ดูสิ เวลาเหมือนกับลูกจากพ่อแม่ ลูกที่มันทำหน้าที่การงานขึ้นมาจนเติบโตขึ้นมา จนเราหาเงินหาทองใช้ได้เองต่างๆ โดยสัมมาทิฏฐิ โดยความถูกต้องดีงามความชอบธรรมนะ ไม่ใช่ว่าลูกขึ้นมามีเงินทองใช้มากโดยทุจริต โดยกลโกง โดยฉ้อฉลคนอื่นมานี่พ่อแม่เสียใจนะ นี่เหมือนกัน มีเงินขึ้นมาโดยสุจริต โดยความชอบธรรม สิ่งนี้ต่างหากมันถึงเป็นความจริง ถ้ามีความจริง นี่ลูกก็สบายใจ พ่อแม่ก็สบายใจทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมา ไม่ประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็ไม่ถึงกับว่าจะทำโทษทำต่างๆ หรอก พ่อแม่ก็ต้องเห็นใจ เพราะลูกของเราก็สู้เต็มที่ ก็ทำเต็มที่ ก็ต้องให้กำลังใจ ในการธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาสนทนาธรรม ถ้ามันไม่ตรงกัน มันขัดแย้งกัน ความขัดแย้งกัน แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้จริงขึ้นมา มันก็เหมือนกับพ่อแม่ดูลูกนั่นน่ะ เอ๊ะ! ก็ทำเต็มที่ ทำดีแล้ว ทำทุกอย่างแล้ว แต่ถ้ามันยังไม่ได้ผลอย่างนั้นเราก็ให้กำลังใจ เราก็ให้อุบาย ให้วิธีการ นี่เวลาธมฺมสากจฺฉา มันไม่ตรงกัน ถ้าผู้ที่ไม่ตรงกัน ถ้าผู้ที่เป็นธรรม ผู้ที่รู้จริงมันจะสังเวชหัวใจ สังเวชนะ

คำว่า “สังเวช” หมายถึงว่า สิ่งที่มันไม่จริง คือว่ามันจะ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ เขารู้อยู่ว่ามันยังขาดอีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ มันยังขาดอยู่ ความสมดุล ความรู้รอบในการมรรคญาณ มันยังขาดอยู่ ถ้ามันยังขาดอยู่ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านภาวนาไปแล้วท่านติด

เวลาครูบาอาจารย์บอก “ให้ต่อไปสิ”

“อ้าว! ก็แค่นี้แหละ ก็เข้าใจว่ามันสิ้นแล้ว”

เห็นไหม มันยังไม่รอบ มันยังไม่ต่างๆ ฉะนั้น ครูบาอาจารย์จะต้องมีอุบาย มีวิธีการให้เขาซ้ำ ให้เขากระทำเพิ่มมากขึ้น อย่างที่ว่า ถ้า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ก็ทำต่อเนื่องๆ ความเพิ่มขึ้น เห็นไหม เหมือนพ่อแม่กับลูก ลูกก็ทำกิจกรรมแต่มันยังไม่สมควร มันยังไม่จบกระบวนการ เราก็มีช่องทาง มีวิธีการให้เขาได้ทดสอบ ได้พลิกแพลง ได้หาวิธีการ เพื่อทำสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมานะ พอมันสมดุลขึ้นมา มันก็สมดุลขึ้นมาถ้ามันสมดุล

สิ่งที่เวลา ธมฺมสากจฺฉา ไม่ตรงกัน ถ้าไม่ตรงกันมันก็ต้องหาวิธีการ ถ้าพูดถึงผู้ที่สูงกว่า จิตใจที่สูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมานะ ถ้าจิตใจที่ต่ำกว่า จิตใจเสมอกันหรือจิตใจต่างกัน มันจะแก้กันได้ยาก แต่ถ้าจิตใจที่มันสูงกว่าจะดึงจิตใจที่ต่ำกว่ามาตลอดเวลา เห็นไหม สิ่งที่เป็นอย่างนี้มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ?

มันเป็นเพราะกิเลสในหัวใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรา คอยชี้ คอยนำ คอยบอก แต่ถ้าเราเป็นเหมือนเขยใหม่ คนที่เป็นเขยใหม่เข้าไปในครอบครัวใหม่เราจะเก้อๆ เขินๆ เราจะไม่สะดวกสบาย แต่ถ้าเราอยู่กับพ่อแม่เรามา เราเกิดมาตั้งแต่เด็กอ่อน พ่อแม่เลี้ยงมานี่มันคุ้นเคย มันคุ้นชิน คุ้นชินกับความเป็นอยู่ในครอบครัว คุ้นชินกับคนในบ้าน คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมหมดเลยเพราะมันคุ้นชิน ฉะนั้น พอเราเข้าไปอยู่เป็นเขยใหม่ ไปอยู่กับอีกครอบครัวใหม่ นี่มันเก้อๆ เขินๆ ไปหมด

นี้ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน เราคุ้นชินกับกิเลสมาตลอด กิเลสในหัวใจกับเรานอนด้วยกัน กินด้วยกัน อยู่ด้วยกันมานี่จนเป็นเพื่อนซี้กันในหัวใจเลย กิเลสกับหัวใจมันเป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด แต่เวลาเรามาปฏิบัติขึ้นมามันเก้อๆ เขินๆ มันทำแล้วมันล้มลุกคลุกคลาน มันทำสิ่งใดแล้วไม่ได้ประโยชน์ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราจะเข้าไปสู่ธรรม

กิเลสมันร้อนนะ ถ้ากิเลสมันร้อน ถ้ากิเลสมันมีกำลังมาก การกระทำของเราจะล้มลุกคลุกคลาน ฉะนั้น เวลาล้มลุกคลุกคลาน เวลาเราทำแล้วมันไม่ประสบความสำเร็จ หรือทำแล้วมันไม่ได้ผล เราก็ตั้งใจทำดีแล้ว เราก็ได้ตั้งใจทำดีแล้ว เราทำทุกอย่างด้วยความสุดความสามารถของเรา ฉะนั้น เวลาเราสุดความสามารถของเรา เราก็ต้องหาวิธีการ หาช่องทาง เพราะเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ เรามั่นคงในศาสดาของเรา เรามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาด้วยความมุมานะ ด้วยความวิริยะ ด้วยความอุตสาหะ เราเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในปัจจุบันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีโอกาสอยู่ เพราะว่าความสัมผัสของธรรม จิตใจเท่านั้น ธาตุรู้เท่านั้นจะเป็นภาชนะบรรจุธรรม ได้สัมผัสธรรมตามความเป็นจริง ในปัจจุบันนี้เรามีภาชนะ ภาชนะคือจะเข้าไปสัมผัสธรรม ภาชนะนี้จะบรรจุธรรม เอาธรรมบรรจุในหัวใจของเราให้เต็มใจของเรา ในหัวใจของเรา เรามีความรู้สึกอยู่ สิ่งนี้จะเข้าไปสัมผัส

ฉะนั้น เวลาเราจะตั้งสติก็ตั้งสติจากใจนี้ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาเกิดจากจิตไม่ใช่ปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสมองนั้นมันเป็นเรื่องของโลกๆ เขา เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตที่เป็นปัจจุบันเดี๋ยวนั้นๆ ไม่มีระยะห่างระยะถี่ต่างๆ มันเกิดพร้อมกับสติปัญญา เกิดพร้อมกับมรรคญาณ สิ่งที่มันเกิดขึ้น เห็นไหม ถ้าเกิดความจริงจากใจ

ใจ ภาชนะที่บรรจุ ใจนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีกิเลสที่มันเร่าร้อนที่มันแผดเผาอยู่นี่ เราทำให้ร่มเย็นขึ้นมาโดยสัมมาสมาธิ เวลาออกใช้ทำงาน ทำหน้าที่การงานมันก็มุมานะ มีความวิริยะ มีความอุตสาหะไป แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน เพราะว่าขั้นของสมถะ ขั้นของทำความสงบของใจให้พักผ่อนใจก็เรื่องหนึ่ง ขั้นของการวิปัสสนาญาณ ขั้นของการใช้ปัญญามันก็ต้องใช้สัมมาสมาธิเพราะความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อความให้เข้าถึงฐีติจิต แล้วใช้จิตใช้ปัญญาไป มันพิจารณาของมันไป มรรคญาณมันหมุนของมันไป นี่ไง สิ่งที่เราทำของเราไป นี่กิเลสมันเริ่มสงบตัวลง

ที่ว่ากิเลสร้อนๆๆๆ นี่แหละ กิเลสมันร้อน พอสัมมาสมาธิกิเลสมันก็ร่มเย็นขึ้น กิเลสร่มเย็นมีด้วยเหรอ กิเลสร่มเย็นขึ้นหมายถึงว่ากิเลสมันไม่แสดงออก แต่กิเลสมันใช้เล่ห์กล มันใช้พลิกแพลง “นั่นเป็นโสดาบัน นั่นเป็นนิพพาน” เห็นไหม กิเลสมันพลิกกลับแล้ว

กิเลสจากร้อน กิเลสร้อนมันก็ทำให้เราทำสมาธิไม่ได้ ทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน เวลาเราทำจนกิเลสเบาบางลง กิเลสละเอียดขึ้น มันจากร้อนๆ จากที่การแสดงตัว การทำลายด้วยการฉ้อฉล เวลาพอมันเริ่มละเอียดขึ้นมานะ มันอ้างอิง มันบังเงาเลย “อย่างนี้เป็นธรรม อย่างนี้เป็นธรรม” ทำให้คนหลง ทำให้คนผิดพลาด ทำให้คนทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ กิเลสมันต่อรอง มันทำลายทุกวิถีทาง นั่นกิเลสมันร้อน

แต่เพราะความมีสติปัญญา เพราะความร่มเย็น เพราะความมีมานะ เพราะความเพียรของเรา นี่ต่อสู้และแก้ไข เราทำในหัวใจของเรา เราปฏิบัติของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำประสบความสำเร็จ ปัญญามันเกิดขึ้น ปัญญาเกิดจากจิต จิตเป็นภาชนะที่จะบรรจุธรรม พอมันพิจารณาไป มันทำเลาะไป ถากถางไป ทำด้วยมรรคญาณ ไม่ได้ทำด้วยมือ ไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันทำด้วยมรรคญาณ ถ้ามันเกิดมรรคญาณมันละเอียดลึกซึ้งนะ แล้วมันเข้ามาทำลายกันจนสมุจเฉท จนปหาน มันเป็นประโยชน์กับเรา

สิ่งที่ร้อนๆ เห็นไหม ธาตุไฟมันร้อน มันแผดเผาไปทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีไฟ เราทำอาหารให้สุกไม่ได้ ไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีมรรค เราจะทำลายกิเลสไม่ได้ สิ่งที่ทำลายกิเลสก็เอาจากที่ว่าเป็นมรรคกับกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความอยากที่เป็นกิเลสกับความอยากที่เป็นมรรค สิ่งที่เป็นมรรค เอาตัวมัน เอาสัจธรรมในความรู้สึกในใจนั้น นี่เข้าไปทำลายกัน

“ใจ” เป็นภาชนะจะบรรจุธรรม

“ใจ” เป็นที่อยู่ของกิเลส

เพราะกิเลสมันมีอยู่ มันถึงทำให้เร่าร้อน

เพราะเรามีสติมีปัญญา เราพลิกแพลง เราแก้ไข ทำความสมดุลจนมันเป็นธรรม แล้วเวลาพิจารณาไป ธรรมเริ่มก้าวเดินไปมันจะสะดวกสบายมากขึ้น มันจะมีการกระทำมากขึ้น มากขึ้น รุกมากขึ้น ทำมากขึ้น นี่ฝ่ายธรรมมันเริ่มมีกำลังขึ้น จนถึงที่สุดเวลามันสมุจเฉทปหาน กิเลสขาดออกไป

“ใจ” ใจที่กิเลสมันยึดครองอยู่นี่ ถึงเวลาแล้วมันเป็นธรรมล้วนๆ ธรรมยึดครองใจ

“ใจ” ถึงเป็นภาชนะบรรจุธรรม เรายังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสอยู่ เราต้องมีการกระทำนะ

ฉะนั้น เราเกิดมากับโลก เราปฏิเสธเรื่องโลกไม่ได้ เราอยู่กับโลก การหายใจ การกิน การอยู่ นี่โลกทั้งนั้นน่ะ เราเกิดมาจากโลก แต่เราเอาโลกมาปฏิบัติธรรมกัน เราเอาโลกมาแสวงหาทางออกกัน ถ้าเอาโลกมาแสวงหาทางออกนะ เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา โลกก็คือโลก ธรรมก็คือธรรม ธรรมคือธรรมวินัย ธรรมคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราบวชมาเป็นพระ เราพยายามจะหาสิ่งนี้เพื่อเป็นเครื่องอยู่ เป็นสิ่งที่เป็นเครื่องอยู่ให้หัวใจเราร่มเย็นเป็นสุข ให้หัวใจเรามีเครื่องอยู่ แล้วเราพยายามกัน ปฏิบัติกันให้มันถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันจะเป็นโอกาสกับเราให้จิตดวงนี้มีความมั่นคงในใจของเรา เอวัง